เสาวณิต จุลวงศ์ *
* ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นิสิตปริญญาเอก หลักสูตรอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวรรณคดีและวรรณคดีเปรียบเทียบ
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
* ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นิสิตปริญญาเอก หลักสูตรอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวรรณคดีและวรรณคดีเปรียบเทียบ
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

วรรณกรรมที่เกิดร่วมยุคสมัยเดียวกันมักมีทั้งลักษณะร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับวรรณกรรมอื่นๆ ในยุคสมัยนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีความต่าง เป็นลักษณะเฉพาะของวรรณกรรมแต่ละเรื่องด้วย ลักษณะร่วมนั้นเกิดจากความรู้ความคิดและค่านิยมแห่งยุคสมัยที่ได้หล่อหลอมผู้แต่งให้สร้างสรรค์ผลงานจากแนวนิยมและความคิดที่ไหลเวียนอยู่ในช่วงเวลานั้นกล่าวได้ว่าวรรณกรรมแต่ละเรื่องอาศัยแนวนิยมและความคิดร่วมกันในการแต่ง ส่วนลักษณะเฉพาะของวรรณกรรมแต่ละเรื่องเกิดจากความเป็นปัจเจกของผู้แต่งผู้แต่งแต่ละคนย่อมได้รับประสบการณ์ความรู้ความคิดและค่านิยมในยุคสมัยของตนแล้วเกิดมีความคิดเฉพาะตนขึ้นเมื่อผนวกกับความรู้ความสามารถอันเป็นสิ่งเฉพาะตนอยู่แล้ว จึงก่อให้เกิดผลงานอันมีลักษณะเฉพาะ ต่างกับวรรณกรรมที่ร่วมยุคสมัยเดียวกันได้
วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่แสดงถึงการมีลักษณะร่วมและลักษณะเฉพาะในแต่ละยุคสมัยได้คือวรรณกรรมล้อ หรือ parody “วรรณกรรมล้อ” เป็นศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติขึ้นใช้แทนคำภาษาอังกฤษว่า “parody” หมายถึงงานเขียนที่เลียนคำพูดลีลาทัศนคติน้ำเสียงและความคิดของนักเขียนคนใดคนหนึ่งโดยทำให้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันน่าหัวเราะ ด้วยการนำลักษณะบางประการมาเน้นทำให้เกินความเป็นจริง ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่นักเขียนการ์ตูนเขียนภาพล้อ จัดว่าเป็นการล้อเชิงเสียดสีประเภทหนึ่ง และจุดประสงค์ก็อาจจะเป็นได้ทั้งเพื่อท้วงติงหรือเพื่อเยาะเย้ยถากถาง
วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่แสดงถึงการมีลักษณะร่วมและลักษณะเฉพาะในแต่ละยุคสมัยได้คือวรรณกรรมล้อ หรือ parody “วรรณกรรมล้อ” เป็นศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติขึ้นใช้แทนคำภาษาอังกฤษว่า “parody” หมายถึงงานเขียนที่เลียนคำพูดลีลาทัศนคติน้ำเสียงและความคิดของนักเขียนคนใดคนหนึ่งโดยทำให้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันน่าหัวเราะ ด้วยการนำลักษณะบางประการมาเน้นทำให้เกินความเป็นจริง ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่นักเขียนการ์ตูนเขียนภาพล้อ จัดว่าเป็นการล้อเชิงเสียดสีประเภทหนึ่ง และจุดประสงค์ก็อาจจะเป็นได้ทั้งเพื่อท้วงติงหรือเพื่อเยาะเย้ยถากถาง
...เมื่อเอ่ยถึงวรรณกรรมล้อของไทย วรรณกรรมเรื่องแรกๆ ที่คนจะนึกถึงคือระเด่นลันได ของพระมหามนตรี (ทรัพย์) ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 วรรณกรรมเรื่องอื่นที่มีปรากฏในยุคต่อมาคือวงศ์เทวราช และกลอนไดอรีซึมทราบ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หลังจากเข้าสู่ยุควรรณกรรมร้อยแก้ว วรรณกรรมที่เข้าข่ายความหมายของวรรณกรรมล้อก็มีปรากฏบางเรื่อง เช่น ไผ่ตัน (2519) ของสุจิตต์ วงษ์เทศ และ ฉันจึงมาหาความหงอย (2525) ของไพบูลย์ วงษ์เทศ
....ในยุคปัจจุบันนั้น ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวงวรรณกรรมในทศวรรษที่ 2530 เป็นต้นมาน่าจะมีอิทธิพลสำคัญต่อการสร้างสรรค์วรรณกรรมล้อของไทยอย่างมาก เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว กลวิธีการประพันธ์ของนักเขียนไทยมีการปรับเปลี่ยนและค้นหาแนวทางใหม่ๆ ในการประพันธ์มากขึ้น วรรณกรรมล้อซึ่งนานๆ จะมีปรากฏขึ้นมาในวงวรรณกรรมไทยสักเรื่องสองเรื่องก็พบว่ามีการแต่งในยุคนี้เช่นกัน และเห็นได้ชัดว่าเป็นการแต่งที่อาศัยกลวิธีและแนวคิดเกี่ยวกับวรรณกรรมล้อที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งในที่นี้จะยกมาเป็นกรณีศึกษา 2 เรื่อง คือ นิยายนิรภัย และฟ้าทะลายโจร
นิยายนิรภัยเป็นผลงานประพันธ์ของแก้วเก้า นวนิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายที่มีลักษณะพิเศษ คือแต่งครั้งแรกเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เนต โดยมีผู้อ่านร่วมแต่ง จากนั้นนำเสนอทางนิตยสารแล้วจึงนำมารวมเล่มเป็นหนังสือในภายหลัง นิยายนิรภัยฉบับรวมเล่มมีลักษณะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และเป็นฉบับที่จะนำมาพิจารณาความเป็นวรรณกรรมล้อแนวหลังสมัยใหม่ พอให้เห็นเป็นตัวอย่างดังนี้
ลักษณะเด่นของนวนิยายเรื่องนี้คือ นิยายนิรภัยมีเรื่องสองเรื่องซ้อนกันอยู่ เรื่องแรกมีตัวละครเอกคือแก้วเก้า ซึ่งคือผู้แต่งเรื่อง และนคค.ผู้อ่านคนหนึ่งที่ติดต่อกับผู้เขียนผ่านเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังมีผู้อ่านทางเว็บไซต์อีกจำนวนหนึ่ง เรื่องราวของตัวละครชุดนี้คือแก้วเก้าถูกโจมตีมากเรื่องที่แต่งนวนิยายเรื่องปลายเทียนแล้วตอนจบทำร้ายจิตใจผู้อ่าน จนกระทั่งแก้วเก้าต้องประกาศแต่งนิยายเรื่องหนึ่งขึ้นมา นิยายเรื่องที่แก้วเก้าแต่งขึ้นมานี้เองคือเรื่องที่สองที่ซ้อนอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งแก้วเก้า (ตัวละคร) เรียกว่า “นิยายนิรภัย” ในการแต่ง นิยายนิรภัย แก้วเก้า (ตัวละคร) กำหนดกฎเกณฑ์การแต่งเรื่องเอาไว้เพื่อไม่ให้พระเอกและนางเอกต้องประสบภัยร้ายต่างๆ ซึ่งจะทำให้นักเขียนปลอดภัยจากการถูกผู้อ่านโจมตี เป็นการล้อเหล่าผู้อ่านที่ส่งข้อความมาต่อว่าเธอ (ผู้เขียน) ในการแต่งเรื่องปลายเทียน นอกจากนี้ แก้วเก้า (ผู้เขียน) ยังเปิดโอกาสให้ผู้อ่านทางอินเทอร์เนตได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและแต่งเรื่องด้วย ในนิยายนิรภัย แก้วเก้า (ตัวละคร) และผู้อ่าน (ตัวละคร) จึงมีการพูดคุยโต้ตอบเกี่ยวกับการแต่งเรื่อง ซึ่งเป็นที่มาของเนื้อเรื่องและตัวละครในนิยายที่แต่ง เช่น ผู้อ่านที่ใช้ชื่อว่า นคค. เสนอว่า “ผมกำลังนึกว่า คุณนางฟ้า นอกจากจะมีจิตใจอ่อนโยน อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสุดชีวิตแล้ว น่าจะมีกิจกรรมการกุศลหรือกิจกรรมเพื่อสังคมให้เธออุทิศตัวทำด้วยสักอย่างหนึ่งให้สมกับเป็นนางฟ้ายิ่งขึ้น…” และในบทต่อมาของเรื่อง นิยายนิรภัย ก็ปรากฏว่านางฟ้าซึ่งเป็นนางเอกได้เล่าให้พระเอกฟังขณะคุยกันเมื่อพบกันครั้งแรกที่วัดแห่งหนึ่งว่า “ดิฉันสนับสนุนไซเตสอยู่ค่ะ เมื่อเกิดวิกฤตินี้ขึ้น นักอนุรักษ์นานาประเทศได้พยายามเรียกร้องในการประชุมไซเตส ในกรุงพนมเปญของกัมพูชาว่าจะร่วมกดดันให้เพิ่มชนิดเต่าที่ควรได้รับความคุ้มครอง อย่างน้อยเพื่อให้การค้าเป็นไปอย่างมีระเบียบมากขึ้น …”
การสร้างตัวละครใน “นิยายนิรภัย” เป็นการล้อภาพนางเอกพระเอกในนวนิยายแนวพาฝัน ซึ่งมักโดดเด่นด้านรูปร่างหน้าตาและเป็นคนดีคนเก่ง แก้วเก้าได้บรรยายลักษณะดังกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเลียน เช่น “ร่างบอบบางแต่สูงระหงสง่างามของเธออยู่ในชุดเบาพลิ้ว ออกแบบง่ายๆ แต่ว่าล้ำเลิศด้วยฝีมือเธอเอง แต่ก็ฉายชัดถึงความเป็นดีไซเนอร์มือสมัครเล่นระดับอัจฉริยะ ผมดำละเอียดอ่อนปล่อยสยายครึ่งหลังมันระยับเล่นเงามันวาวล้อแสงอรุณยิ่งกว่าโฆษณาแชมพูจะเทียบได้ รับกับดวงหน้าสวยซึ้งผุดผ่องไร้เครื่องสำอาง เพราะความงดงามตามธรรมชาติมีเกินกว่าครีมหรือลิปสติกจะบันดาล” ส่วนตัวละครพระเอกก็นำพระเอกในนวนิยายเรื่องนิรมิตของผู้แต่งเองมาล้อไว้ในเรื่องนี้ ดังที่ นคค. แนะให้ผู้อ่านทราบในตอนท้ายเรื่องด้วยการเสนอโครงเรื่องภาคต่อไปของ นิยายนิรภัย ว่าพระเอกในเรื่องนี้ คือเจ้าภูนริศและเคานต์นีโลซึ่งเป็นคนเดียวกันนั้นแท้จริงแล้วเกิดจาก “ผลการทดลองแยกร่างที่ผิดพลาดไป” และเกิดตัวตนภาคที่ 3 ขึ้นมาเป็นตัวร้าย “ตัวตนภาคป่วนนี้ตั้งชื่อตัวเองว่า ภูวง เอ๊ย ภังคี…เอ๊ย…อ้ายศรินูภ” ข้อความนี้เป็นการโยงพระเอกในเรื่องเข้ากับภูวงและภังคีซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องนิรมิต และทั้งสองเป็นคนคนเดียวกันเช่นเดียวกับเจ้าภูนริศและเคานต์นีโล นวนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่จะยกมากล่าวเป็นตัวอย่างสั้นๆ คือนวนิยายเรื่องฟ้าทะลายโจร ของ ศ. จินดาวงศ์ นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากบทภาพยนตร์เรื่องฟ้าทะลายโจร ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ล้อแนวหลังสมัยใหม่ซึ่งใช้กลวิธีต่างๆ ทางภาพยนตร์ในการล้อได้เป็นอย่างดี สำหรับนวนิยายนั้นแม้เนื้อเรื่องจะตรงกับภาพยนตร์ แต่ในด้านกลวิธี ผู้แต่งได้ใช้กลวิธีทางการประพันธ์ในการสร้างให้ นวนิยายเรื่องนี้มีลักษณะเป็นวรรณกรรมล้อที่สื่อสารด้วยตัวอักษรอย่างเต็มที่ มิใช่สื่อสารด้วยภาพอย่างเช่นภาพยนตร์ และเพียงแค่นามปากกาของผู้แต่งก็กระตุกให้ผู้อ่านหวนคิดไปถึงนักเขียนรุ่นก่อนอย่าง ป. อินทรปาลิต ม. ชูพินิจ พ. เนตรรังษี ส. ธรรมยศ หรือ ส. อาสนจินดา ซึ่งทำให้คาดเดาได้ว่าเนื้อเรื่องจะย้อนยุคไปในสมัยใด
นิยายนิรภัยเป็นผลงานประพันธ์ของแก้วเก้า นวนิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายที่มีลักษณะพิเศษ คือแต่งครั้งแรกเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เนต โดยมีผู้อ่านร่วมแต่ง จากนั้นนำเสนอทางนิตยสารแล้วจึงนำมารวมเล่มเป็นหนังสือในภายหลัง นิยายนิรภัยฉบับรวมเล่มมีลักษณะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และเป็นฉบับที่จะนำมาพิจารณาความเป็นวรรณกรรมล้อแนวหลังสมัยใหม่ พอให้เห็นเป็นตัวอย่างดังนี้
ลักษณะเด่นของนวนิยายเรื่องนี้คือ นิยายนิรภัยมีเรื่องสองเรื่องซ้อนกันอยู่ เรื่องแรกมีตัวละครเอกคือแก้วเก้า ซึ่งคือผู้แต่งเรื่อง และนคค.ผู้อ่านคนหนึ่งที่ติดต่อกับผู้เขียนผ่านเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังมีผู้อ่านทางเว็บไซต์อีกจำนวนหนึ่ง เรื่องราวของตัวละครชุดนี้คือแก้วเก้าถูกโจมตีมากเรื่องที่แต่งนวนิยายเรื่องปลายเทียนแล้วตอนจบทำร้ายจิตใจผู้อ่าน จนกระทั่งแก้วเก้าต้องประกาศแต่งนิยายเรื่องหนึ่งขึ้นมา นิยายเรื่องที่แก้วเก้าแต่งขึ้นมานี้เองคือเรื่องที่สองที่ซ้อนอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งแก้วเก้า (ตัวละคร) เรียกว่า “นิยายนิรภัย” ในการแต่ง นิยายนิรภัย แก้วเก้า (ตัวละคร) กำหนดกฎเกณฑ์การแต่งเรื่องเอาไว้เพื่อไม่ให้พระเอกและนางเอกต้องประสบภัยร้ายต่างๆ ซึ่งจะทำให้นักเขียนปลอดภัยจากการถูกผู้อ่านโจมตี เป็นการล้อเหล่าผู้อ่านที่ส่งข้อความมาต่อว่าเธอ (ผู้เขียน) ในการแต่งเรื่องปลายเทียน นอกจากนี้ แก้วเก้า (ผู้เขียน) ยังเปิดโอกาสให้ผู้อ่านทางอินเทอร์เนตได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและแต่งเรื่องด้วย ในนิยายนิรภัย แก้วเก้า (ตัวละคร) และผู้อ่าน (ตัวละคร) จึงมีการพูดคุยโต้ตอบเกี่ยวกับการแต่งเรื่อง ซึ่งเป็นที่มาของเนื้อเรื่องและตัวละครในนิยายที่แต่ง เช่น ผู้อ่านที่ใช้ชื่อว่า นคค. เสนอว่า “ผมกำลังนึกว่า คุณนางฟ้า นอกจากจะมีจิตใจอ่อนโยน อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสุดชีวิตแล้ว น่าจะมีกิจกรรมการกุศลหรือกิจกรรมเพื่อสังคมให้เธออุทิศตัวทำด้วยสักอย่างหนึ่งให้สมกับเป็นนางฟ้ายิ่งขึ้น…” และในบทต่อมาของเรื่อง นิยายนิรภัย ก็ปรากฏว่านางฟ้าซึ่งเป็นนางเอกได้เล่าให้พระเอกฟังขณะคุยกันเมื่อพบกันครั้งแรกที่วัดแห่งหนึ่งว่า “ดิฉันสนับสนุนไซเตสอยู่ค่ะ เมื่อเกิดวิกฤตินี้ขึ้น นักอนุรักษ์นานาประเทศได้พยายามเรียกร้องในการประชุมไซเตส ในกรุงพนมเปญของกัมพูชาว่าจะร่วมกดดันให้เพิ่มชนิดเต่าที่ควรได้รับความคุ้มครอง อย่างน้อยเพื่อให้การค้าเป็นไปอย่างมีระเบียบมากขึ้น …”
การสร้างตัวละครใน “นิยายนิรภัย” เป็นการล้อภาพนางเอกพระเอกในนวนิยายแนวพาฝัน ซึ่งมักโดดเด่นด้านรูปร่างหน้าตาและเป็นคนดีคนเก่ง แก้วเก้าได้บรรยายลักษณะดังกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเลียน เช่น “ร่างบอบบางแต่สูงระหงสง่างามของเธออยู่ในชุดเบาพลิ้ว ออกแบบง่ายๆ แต่ว่าล้ำเลิศด้วยฝีมือเธอเอง แต่ก็ฉายชัดถึงความเป็นดีไซเนอร์มือสมัครเล่นระดับอัจฉริยะ ผมดำละเอียดอ่อนปล่อยสยายครึ่งหลังมันระยับเล่นเงามันวาวล้อแสงอรุณยิ่งกว่าโฆษณาแชมพูจะเทียบได้ รับกับดวงหน้าสวยซึ้งผุดผ่องไร้เครื่องสำอาง เพราะความงดงามตามธรรมชาติมีเกินกว่าครีมหรือลิปสติกจะบันดาล” ส่วนตัวละครพระเอกก็นำพระเอกในนวนิยายเรื่องนิรมิตของผู้แต่งเองมาล้อไว้ในเรื่องนี้ ดังที่ นคค. แนะให้ผู้อ่านทราบในตอนท้ายเรื่องด้วยการเสนอโครงเรื่องภาคต่อไปของ นิยายนิรภัย ว่าพระเอกในเรื่องนี้ คือเจ้าภูนริศและเคานต์นีโลซึ่งเป็นคนเดียวกันนั้นแท้จริงแล้วเกิดจาก “ผลการทดลองแยกร่างที่ผิดพลาดไป” และเกิดตัวตนภาคที่ 3 ขึ้นมาเป็นตัวร้าย “ตัวตนภาคป่วนนี้ตั้งชื่อตัวเองว่า ภูวง เอ๊ย ภังคี…เอ๊ย…อ้ายศรินูภ” ข้อความนี้เป็นการโยงพระเอกในเรื่องเข้ากับภูวงและภังคีซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องนิรมิต และทั้งสองเป็นคนคนเดียวกันเช่นเดียวกับเจ้าภูนริศและเคานต์นีโล นวนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่จะยกมากล่าวเป็นตัวอย่างสั้นๆ คือนวนิยายเรื่องฟ้าทะลายโจร ของ ศ. จินดาวงศ์ นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากบทภาพยนตร์เรื่องฟ้าทะลายโจร ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ล้อแนวหลังสมัยใหม่ซึ่งใช้กลวิธีต่างๆ ทางภาพยนตร์ในการล้อได้เป็นอย่างดี สำหรับนวนิยายนั้นแม้เนื้อเรื่องจะตรงกับภาพยนตร์ แต่ในด้านกลวิธี ผู้แต่งได้ใช้กลวิธีทางการประพันธ์ในการสร้างให้ นวนิยายเรื่องนี้มีลักษณะเป็นวรรณกรรมล้อที่สื่อสารด้วยตัวอักษรอย่างเต็มที่ มิใช่สื่อสารด้วยภาพอย่างเช่นภาพยนตร์ และเพียงแค่นามปากกาของผู้แต่งก็กระตุกให้ผู้อ่านหวนคิดไปถึงนักเขียนรุ่นก่อนอย่าง ป. อินทรปาลิต ม. ชูพินิจ พ. เนตรรังษี ส. ธรรมยศ หรือ ส. อาสนจินดา ซึ่งทำให้คาดเดาได้ว่าเนื้อเรื่องจะย้อนยุคไปในสมัยใด

นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของดำ เด็กหนุ่มชาวสุพรรณบุรี กับรำเพย เด็กสาวชาวพระนคร ที่ประสบอุปสรรคความรักเนื่องจากชะตากรรมของดำที่ต้องตกไปอยู่ในหมู่โจร นวนิยายเรื่องนี้จึงมีสองภาคอยู่ในเล่มเดียว คือภาคลูกกรุง และภาคลูกทุ่ง ส่วนของภาคลูกกรุงนั้น ผู้แต่งทำให้เราอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงนวนิยายศรีบูรพา ทั้งการเลียนสำนวนลีลาการใช้ภาษาและล้อกับผลงานของนักเขียนผู้นี้ เช่น คำว่า “ภาคปฐมวัย” ในตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นก็โยงให้ผู้อ่านนึกถึงนวนิยายเรื่องสุดท้ายของศรีบูรพา คือแลไปข้างหน้า ซึ่งมี 2 ภาค คือ ภาคปฐมวัย และภาคมัชฌิมวัย การเขียนจดหมายโต้ตอบระหว่างดำกับรำเพยก็ชวนให้นึกไปถึงรพินทร์กับเพลินในเรื่องสงครามชีวิต การเปิดเรื่องนวนิยายเรื่องนี้ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้อ่านเชื่อมโยงไปถึงนวนิยายเรื่องเด่นของศรีบูรพาเช่นกัน ดังที่ว่า “รูปถ่ายเล็กๆ สองรูปถูกวางไว้เคียงกันบนโต๊ะหนังสือเก่าคร่ำคร่าตัวนั้น ไม่มีใครรู้และไม่มีใครสนใจใคร่รู้ว่ามันถูกฉายเมื่อใด” และ “ความสงสัยย่อมนำไปสู่ความอยากรู้อยากเห็นถึงเรื่องราวที่อยู่เบื้อหลังภาพทั้งสองนั้น”
ส่วนในภาคลูกทุ่ง เพียงชื่อตัวละครและสถานที่เกิดเหตุการณ์ก็ทำให้ผู้อ่านระลึกได้ไม่ยากว่ามีความเชื่อมโยงกับนวนิยายของ ป. อินทรปาลิต ชุด เสือดำ เสือใบ และเรื่องราวของจอมโจรชื่อดังแถบสุพรรณบุรี คือ เสือฝ้ายและเสือมเหศวร เรื่องราวภาคลูกทุ่งนี้ให้ภาพล้อกับภาพยนตร์และ นวนิยายแนวบู๊โลดโผนของไทยในยุคก่อนด้วยเหตุการณ์การต่อสู้แบบโคบาลที่บรรยายด้วยสำนวนลูกกรุง ลักษณะพิเศษของนิยายนิรภัยและฟ้าทะลายโจรที่แต่งขึ้นเพื่อการล้อ“ตัวบท”ต่างๆในลักษณะของสหบทด้วยกลวิธีแบบเรื่องซ้อนเรื่องซึ่งเป็นกลวิธีของแนวการประพันธ์หลังสมัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า ในยุคที่กระแสความสนใจกลวิธีการเขียนแบบหลังสมัยใหม่กำลังมาแรง นักเขียนไทยก็ให้ความสนใจสร้างสรรค์วรรณกรรมล้อในแนวนี้เช่นกัน