วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

กรณีศึกษา :วรรณกรรมล้อแนวหลังสมัยใหม่ของไทย



เสาวณิต จุลวงศ์ *
* ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาภาษาไทย คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
นิสิตปริญญาเอก หลักสูตรอักษรศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวรรณคดีและวรรณคดีเปรียบเทียบ
คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย




วรรณกรรมที่เกิดร่วมยุคสมัยเดียวกันมักมีทั้งลักษณะร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับวรรณกรรมอื่นๆ ในยุคสมัยนั้น แต่ในขณะเดียวกันก็มีความต่าง เป็นลักษณะเฉพาะของวรรณกรรมแต่ละเรื่องด้วย ลักษณะร่วมนั้นเกิดจากความรู้ความคิดและค่านิยมแห่งยุคสมัยที่ได้หล่อหลอมผู้แต่งให้สร้างสรรค์ผลงานจากแนวนิยมและความคิดที่ไหลเวียนอยู่ในช่วงเวลานั้นกล่าวได้ว่าวรรณกรรมแต่ละเรื่องอาศัยแนวนิยมและความคิดร่วมกันในการแต่ง ส่วนลักษณะเฉพาะของวรรณกรรมแต่ละเรื่องเกิดจากความเป็นปัจเจกของผู้แต่งผู้แต่งแต่ละคนย่อมได้รับประสบการณ์ความรู้ความคิดและค่านิยมในยุคสมัยของตนแล้วเกิดมีความคิดเฉพาะตนขึ้นเมื่อผนวกกับความรู้ความสามารถอันเป็นสิ่งเฉพาะตนอยู่แล้ว จึงก่อให้เกิดผลงานอันมีลักษณะเฉพาะ ต่างกับวรรณกรรมที่ร่วมยุคสมัยเดียวกันได้
วรรณกรรมประเภทหนึ่งที่แสดงถึงการมีลักษณะร่วมและลักษณะเฉพาะในแต่ละยุคสมัยได้คือวรรณกรรมล้อ หรือ parody “วรรณกรรมล้อ” เป็นศัพท์ที่ราชบัณฑิตยสถานบัญญัติขึ้นใช้แทนคำภาษาอังกฤษว่า “parody” หมายถึงงานเขียนที่เลียนคำพูดลีลาทัศนคติน้ำเสียงและความคิดของนักเขียนคนใดคนหนึ่งโดยทำให้กลายเป็นเรื่องตลกขบขันน่าหัวเราะ ด้วยการนำลักษณะบางประการมาเน้นทำให้เกินความเป็นจริง ซึ่งเป็นวิธีเดียวกับที่นักเขียนการ์ตูนเขียนภาพล้อ จัดว่าเป็นการล้อเชิงเสียดสีประเภทหนึ่ง และจุดประสงค์ก็อาจจะเป็นได้ทั้งเพื่อท้วงติงหรือเพื่อเยาะเย้ยถากถาง


...เมื่อเอ่ยถึงวรรณกรรมล้อของไทย วรรณกรรมเรื่องแรกๆ ที่คนจะนึกถึงคือระเด่นลันได ของพระมหามนตรี (ทรัพย์) ซึ่งแต่งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 วรรณกรรมเรื่องอื่นที่มีปรากฏในยุคต่อมาคือวงศ์เทวราช และกลอนไดอรีซึมทราบ พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 หลังจากเข้าสู่ยุควรรณกรรมร้อยแก้ว วรรณกรรมที่เข้าข่ายความหมายของวรรณกรรมล้อก็มีปรากฏบางเรื่อง เช่น ไผ่ตัน (2519) ของสุจิตต์ วงษ์เทศ และ ฉันจึงมาหาความหงอย (2525) ของไพบูลย์ วงษ์เทศ




....ในยุคปัจจุบันนั้น ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวงวรรณกรรมในทศวรรษที่ 2530 เป็นต้นมาน่าจะมีอิทธิพลสำคัญต่อการสร้างสรรค์วรรณกรรมล้อของไทยอย่างมาก เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าว กลวิธีการประพันธ์ของนักเขียนไทยมีการปรับเปลี่ยนและค้นหาแนวทางใหม่ๆ ในการประพันธ์มากขึ้น วรรณกรรมล้อซึ่งนานๆ จะมีปรากฏขึ้นมาในวงวรรณกรรมไทยสักเรื่องสองเรื่องก็พบว่ามีการแต่งในยุคนี้เช่นกัน และเห็นได้ชัดว่าเป็นการแต่งที่อาศัยกลวิธีและแนวคิดเกี่ยวกับวรรณกรรมล้อที่แตกต่างจากเดิม ซึ่งในที่นี้จะยกมาเป็นกรณีศึกษา 2 เรื่อง คือ นิยายนิรภัย และฟ้าทะลายโจร
นิยายนิรภัยเป็นผลงานประพันธ์ของแก้วเก้า นวนิยายเรื่องนี้เป็นนวนิยายที่มีลักษณะพิเศษ คือแต่งครั้งแรกเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เนต โดยมีผู้อ่านร่วมแต่ง จากนั้นนำเสนอทางนิตยสารแล้วจึงนำมารวมเล่มเป็นหนังสือในภายหลัง นิยายนิรภัยฉบับรวมเล่มมีลักษณะที่น่าสนใจอย่างยิ่ง และเป็นฉบับที่จะนำมาพิจารณาความเป็นวรรณกรรมล้อแนวหลังสมัยใหม่ พอให้เห็นเป็นตัวอย่างดังนี้
ลักษณะเด่นของนวนิยายเรื่องนี้คือ นิยายนิรภัยมีเรื่องสองเรื่องซ้อนกันอยู่ เรื่องแรกมีตัวละครเอกคือแก้วเก้า ซึ่งคือผู้แต่งเรื่อง และนคค.ผู้อ่านคนหนึ่งที่ติดต่อกับผู้เขียนผ่านเว็บไซต์ นอกจากนี้ยังมีผู้อ่านทางเว็บไซต์อีกจำนวนหนึ่ง เรื่องราวของตัวละครชุดนี้คือแก้วเก้าถูกโจมตีมากเรื่องที่แต่งนวนิยายเรื่องปลายเทียนแล้วตอนจบทำร้ายจิตใจผู้อ่าน จนกระทั่งแก้วเก้าต้องประกาศแต่งนิยายเรื่องหนึ่งขึ้นมา นิยายเรื่องที่แก้วเก้าแต่งขึ้นมานี้เองคือเรื่องที่สองที่ซ้อนอยู่ในนวนิยายเรื่องนี้ ซึ่งแก้วเก้า (ตัวละคร) เรียกว่า “นิยายนิรภัย” ในการแต่ง นิยายนิรภัย แก้วเก้า (ตัวละคร) กำหนดกฎเกณฑ์การแต่งเรื่องเอาไว้เพื่อไม่ให้พระเอกและนางเอกต้องประสบภัยร้ายต่างๆ ซึ่งจะทำให้นักเขียนปลอดภัยจากการถูกผู้อ่านโจมตี เป็นการล้อเหล่าผู้อ่านที่ส่งข้อความมาต่อว่าเธอ (ผู้เขียน) ในการแต่งเรื่องปลายเทียน นอกจากนี้ แก้วเก้า (ผู้เขียน) ยังเปิดโอกาสให้ผู้อ่านทางอินเทอร์เนตได้ร่วมแสดงความคิดเห็นและแต่งเรื่องด้วย ในนิยายนิรภัย แก้วเก้า (ตัวละคร) และผู้อ่าน (ตัวละคร) จึงมีการพูดคุยโต้ตอบเกี่ยวกับการแต่งเรื่อง ซึ่งเป็นที่มาของเนื้อเรื่องและตัวละครในนิยายที่แต่ง เช่น ผู้อ่านที่ใช้ชื่อว่า นคค. เสนอว่า “ผมกำลังนึกว่า คุณนางฟ้า นอกจากจะมีจิตใจอ่อนโยน อนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสุดชีวิตแล้ว น่าจะมีกิจกรรมการกุศลหรือกิจกรรมเพื่อสังคมให้เธออุทิศตัวทำด้วยสักอย่างหนึ่งให้สมกับเป็นนางฟ้ายิ่งขึ้น…” และในบทต่อมาของเรื่อง นิยายนิรภัย ก็ปรากฏว่านางฟ้าซึ่งเป็นนางเอกได้เล่าให้พระเอกฟังขณะคุยกันเมื่อพบกันครั้งแรกที่วัดแห่งหนึ่งว่า “ดิฉันสนับสนุนไซเตสอยู่ค่ะ เมื่อเกิดวิกฤตินี้ขึ้น นักอนุรักษ์นานาประเทศได้พยายามเรียกร้องในการประชุมไซเตส ในกรุงพนมเปญของกัมพูชาว่าจะร่วมกดดันให้เพิ่มชนิดเต่าที่ควรได้รับความคุ้มครอง อย่างน้อยเพื่อให้การค้าเป็นไปอย่างมีระเบียบมากขึ้น …”
การสร้างตัวละครใน “นิยายนิรภัย” เป็นการล้อภาพนางเอกพระเอกในนวนิยายแนวพาฝัน ซึ่งมักโดดเด่นด้านรูปร่างหน้าตาและเป็นคนดีคนเก่ง แก้วเก้าได้บรรยายลักษณะดังกล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเลียน เช่น “ร่างบอบบางแต่สูงระหงสง่างามของเธออยู่ในชุดเบาพลิ้ว ออกแบบง่ายๆ แต่ว่าล้ำเลิศด้วยฝีมือเธอเอง แต่ก็ฉายชัดถึงความเป็นดีไซเนอร์มือสมัครเล่นระดับอัจฉริยะ ผมดำละเอียดอ่อนปล่อยสยายครึ่งหลังมันระยับเล่นเงามันวาวล้อแสงอรุณยิ่งกว่าโฆษณาแชมพูจะเทียบได้ รับกับดวงหน้าสวยซึ้งผุดผ่องไร้เครื่องสำอาง เพราะความงดงามตามธรรมชาติมีเกินกว่าครีมหรือลิปสติกจะบันดาล” ส่วนตัวละครพระเอกก็นำพระเอกในนวนิยายเรื่องนิรมิตของผู้แต่งเองมาล้อไว้ในเรื่องนี้ ดังที่ นคค. แนะให้ผู้อ่านทราบในตอนท้ายเรื่องด้วยการเสนอโครงเรื่องภาคต่อไปของ นิยายนิรภัย ว่าพระเอกในเรื่องนี้ คือเจ้าภูนริศและเคานต์นีโลซึ่งเป็นคนเดียวกันนั้นแท้จริงแล้วเกิดจาก “ผลการทดลองแยกร่างที่ผิดพลาดไป” และเกิดตัวตนภาคที่ 3 ขึ้นมาเป็นตัวร้าย “ตัวตนภาคป่วนนี้ตั้งชื่อตัวเองว่า ภูวง เอ๊ย ภังคี…เอ๊ย…อ้ายศรินูภ” ข้อความนี้เป็นการโยงพระเอกในเรื่องเข้ากับภูวงและภังคีซึ่งเป็นตัวละครในเรื่องนิรมิต และทั้งสองเป็นคนคนเดียวกันเช่นเดียวกับเจ้าภูนริศและเคานต์นีโล นวนิยายอีกเรื่องหนึ่งที่จะยกมากล่าวเป็นตัวอย่างสั้นๆ คือนวนิยายเรื่องฟ้าทะลายโจร ของ ศ. จินดาวงศ์ นวนิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากบทภาพยนตร์เรื่องฟ้าทะลายโจร ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นภาพยนตร์ล้อแนวหลังสมัยใหม่ซึ่งใช้กลวิธีต่างๆ ทางภาพยนตร์ในการล้อได้เป็นอย่างดี สำหรับนวนิยายนั้นแม้เนื้อเรื่องจะตรงกับภาพยนตร์ แต่ในด้านกลวิธี ผู้แต่งได้ใช้กลวิธีทางการประพันธ์ในการสร้างให้ นวนิยายเรื่องนี้มีลักษณะเป็นวรรณกรรมล้อที่สื่อสารด้วยตัวอักษรอย่างเต็มที่ มิใช่สื่อสารด้วยภาพอย่างเช่นภาพยนตร์ และเพียงแค่นามปากกาของผู้แต่งก็กระตุกให้ผู้อ่านหวนคิดไปถึงนักเขียนรุ่นก่อนอย่าง ป. อินทรปาลิต ม. ชูพินิจ พ. เนตรรังษี ส. ธรรมยศ หรือ ส. อาสนจินดา ซึ่งทำให้คาดเดาได้ว่าเนื้อเรื่องจะย้อนยุคไปในสมัยใด



ฟ้าทะลายโจรได้แยกผู้เล่าเรื่องออกจากเรื่องที่เล่า คือแสดงให้ผู้อ่านเห็นชัดเจนว่าเรื่องราวของตัวละครทั้งหลายนั้นเป็นเรื่องเล่า ผู้แต่งได้แทรกตัวเองเข้าไประหว่างการเล่าเรื่องหลายครั้งแสดงตนประหนึ่งผู้รู้แจ้งและควบคุมการเล่าเรื่องอยู่ เช่น จะต่างกันก็แต่ว่านวนิยายชีวิตเรื่องนี้ มิได้ปิดท้ายด้วยความหวานซึ้งเช่นนวนิยายเรื่องอื่นๆฉะนั้น จึงใคร่ขอมอบความหวานซึ้งในตอนกลางเรื่อง อันเป็นการโต้ตอบจดหมายระหว่างชายหนุ่มและหญิงสาว ที่เราได้ติดตามชีวิตของคนทั้งสองมาตั้งแต่ภาคปฐมวัย เพื่อเป็นบรรณาการแห่งความรักสำหรับผู้อ่านทุกคนไว้ ณ ที่นี้
นวนิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของดำ เด็กหนุ่มชาวสุพรรณบุรี กับรำเพย เด็กสาวชาวพระนคร ที่ประสบอุปสรรคความรักเนื่องจากชะตากรรมของดำที่ต้องตกไปอยู่ในหมู่โจร นวนิยายเรื่องนี้จึงมีสองภาคอยู่ในเล่มเดียว คือภาคลูกกรุง และภาคลูกทุ่ง ส่วนของภาคลูกกรุงนั้น ผู้แต่งทำให้เราอดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงนวนิยายศรีบูรพา ทั้งการเลียนสำนวนลีลาการใช้ภาษาและล้อกับผลงานของนักเขียนผู้นี้ เช่น คำว่า “ภาคปฐมวัย” ในตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นก็โยงให้ผู้อ่านนึกถึงนวนิยายเรื่องสุดท้ายของศรีบูรพา คือแลไปข้างหน้า ซึ่งมี 2 ภาค คือ ภาคปฐมวัย และภาคมัชฌิมวัย การเขียนจดหมายโต้ตอบระหว่างดำกับรำเพยก็ชวนให้นึกไปถึงรพินทร์กับเพลินในเรื่องสงครามชีวิต การเปิดเรื่องนวนิยายเรื่องนี้ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้ผู้อ่านเชื่อมโยงไปถึงนวนิยายเรื่องเด่นของศรีบูรพาเช่นกัน ดังที่ว่า “รูปถ่ายเล็กๆ สองรูปถูกวางไว้เคียงกันบนโต๊ะหนังสือเก่าคร่ำคร่าตัวนั้น ไม่มีใครรู้และไม่มีใครสนใจใคร่รู้ว่ามันถูกฉายเมื่อใด” และ “ความสงสัยย่อมนำไปสู่ความอยากรู้อยากเห็นถึงเรื่องราวที่อยู่เบื้อหลังภาพทั้งสองนั้น”
ส่วนในภาคลูกทุ่ง เพียงชื่อตัวละครและสถานที่เกิดเหตุการณ์ก็ทำให้ผู้อ่านระลึกได้ไม่ยากว่ามีความเชื่อมโยงกับนวนิยายของ ป. อินทรปาลิต ชุด เสือดำ เสือใบ และเรื่องราวของจอมโจรชื่อดังแถบสุพรรณบุรี คือ เสือฝ้ายและเสือมเหศวร เรื่องราวภาคลูกทุ่งนี้ให้ภาพล้อกับภาพยนตร์และ นวนิยายแนวบู๊โลดโผนของไทยในยุคก่อนด้วยเหตุการณ์การต่อสู้แบบโคบาลที่บรรยายด้วยสำนวนลูกกรุง ลักษณะพิเศษของนิยายนิรภัยและฟ้าทะลายโจรที่แต่งขึ้นเพื่อการล้อ“ตัวบท”ต่างๆในลักษณะของสหบทด้วยกลวิธีแบบเรื่องซ้อนเรื่องซึ่งเป็นกลวิธีของแนวการประพันธ์หลังสมัยใหม่ชี้ให้เห็นว่า ในยุคที่กระแสความสนใจกลวิธีการเขียนแบบหลังสมัยใหม่กำลังมาแรง นักเขียนไทยก็ให้ความสนใจสร้างสรรค์วรรณกรรมล้อในแนวนี้เช่นกัน

ตัวอย่างงานวิจัย:บทสำรวจแนวความคิดเกี่ยวกับหลังสมัยใหม่**

โดย ธีรทัต ชูดำ*
**บทความนำเสนอต่อที่ประชุมวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ในส่วนภูมิภาคประจำปี พ.ศ. 2549 (ภาคใต้) ในหัวข้อ “ก้าวข้ามพรมแดนแห่งความรู้: การเมือง ศาสนา วัฒนธรรมและพลังแห่งท้องถิ่นภาคใต้” จัดโดยสถาบันเครือข่ายวิชาการรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ภาคใต้ ระหว่างวันที่ 7-8 กันยายน พ.ศ. 2549 ณ โรงแรมซีเอสปัตตานี จ. ปัตตานี และตีพิมพ์ในวารสารหาดใหญ่วิชาการปีที่ 6 ฉบับที่ 1 มกราคม – มิถุนายน 2551
*อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ สาขาวิชาการเมืองการปกครอง มหาวิทยาลัยหาดใหญ่
ในบทความ ผู้เขียนศึกษาเกี่ยวกับว่า ถ้าบริบทเป็นความจริงที่จำเป็นสำหรับการอธิบายหรือสร้างทฤษฎี สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับมนุษย์ไม่ว่าเป็นเหตุการณ์หรืออะไรก็ตามจึงไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นสิ่งเดียวกันหรือเหมือนกัน/สอดคล้องกันกับเนื้อหา/สาระสำคัญตามที่ทฤษฎีได้จัดลำดับเอาไว้ บริบทเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกคำถามที่เป็นกุญแจสำคัญ คือ ทำไมการปฏิเสธหรือการละเลยบริบทจึงเป็นสาเหตุสำคัญแห่งการพังทะลายของทฤษฎีที่ "แนวคิดเกี่ยวกับหลังสมัยใหม่" ได้พูดถึงเกี่ยวกับการไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจครอบงำทางความคิด ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีวิทยาแบบใดแบบหนี่งเพียงแบบเดียว ควร ให้ความสำคัญกับความหลากหลาย ทำให้เรารู้จักคิดแบบองค์รวม โดยเราต้องใช้วิธีวิพากษ์และอาศัยระบบความคิดและวิธีการวิเคราะห์ที่หลากหลายมากขึ้น

ความรู้ อำนาจและความจริงในทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่ถูกจัดให้อยู่สูงสุดในความรู้ทั้งปวงในยุคสมัยใหม่ ซึ่งอ้างว่า ความรู้แบบวิทยาศาสตร์ คือ ความรู้ที่จริงที่สุด เพราะปลอดจากค่านิยม และเป็นอิสระจากอุดมการณ์ทางการเมือง แต่ยุคหลังสมัยใหม่นั้นความรู้ อำนาจและความจริงแบบวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นความรู้ที่จริงที่สุด และไม่ได้ปลอดจากค่านิยมจริง เนื่องจากความรู้ อำนาจและความจริงนั้นมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบริบทตลอดเวลา
ผู้เขียนสรุปลักษณะที่สำคัญๆของแนวคิดหลังสมัยใหม่นิยม ประการแรก ปฎิเสธความเป็นสากลนิยม หมายความว่า ปฎิเสธแนวคิด ทฤษฎีที่เชื่อมั่นว่าสามารถอธิบายโลกหรือสรรพสิ่งได้อย่างครอบคลุมตามแนวคิดของยุคสมัยใหม่อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากยุคแห่งความรู้แจ้ง (Enlightenment) ที่ยกย่อง เชิดชูความเป็นองค์ประธานที่สูงส่งของมนุษย์ เกิดการตั้งคำถามต่อการเสนอภาพตัวแทนที่มีความเชื่อพื้นฐานว่าสามารถเขียนอธิบายโลกได้ดังกระจกสะท้อนความจริง หรือการทำให้ความจริงได้ปรากฎขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แนวคิดหลังสมัยใหม่มองว่าการเสนอภาพตัวแทนเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะการเสนอภาพตัวแทนหนึ่งๆต้องอาศัยขึ้นอยู่กับภาพตัวแทนอื่นด้วย ดังนั้นการเสนอภาพตัวแทนจึงไม่ใช่เป็นการสะท้อนความเป็นจริงประการใดแต่กลับเป็นภาพที่แสดงออกถึงความต้องการที่จะครอบงำทางอุดมการณ์ ประการต่อมาปฎิเสธจุดมุ่งหมายทางสังคม หมายความว่า จะปฎิเสธความคิดที่เชื่อว่าสังคมมีการเคลื่อนตัวไปอย่างมีจุดมุ่งหมายตามวิวัฒนาการทางประวัติศาสตร์ รวมทั้งการตั้งข้อสงสัยในแนวคิด ทฤษฎีต่างๆที่เชื่อว่าสามารถอธิบายและทำความเข้าใจโลกและจักรวาลได้ และสามารถดัดแปลง จัดการ ควบคุมได้สิ่งต่างๆ เหล่านี้ได้เป็นไปในทิศทางที่มุ่งตอบสนองต่อความต้องการและความก้าวหน้าของมนุษย์ ประการที่สาม ปฎิเสธสังคมอุดมคติ หมายความว่า แนวคิดนี้จะตั้งข้อสงสัยและเคลือบแคลงต่อสังคมอุดมคติ เพราะเห็นว่ามนุษย์มีความศรัทธาต่อความก้าวหน้าวิวัฒนาการทางสังคม การต่อสู้ทางชนชั้น ทำให้มีคนจำนวนมากต้องเสียชีวิตลงในนามของความเสียสละ ความจงรักภักดี และอุดมคติ การมุ่งมันในจุดมุ่งหมายของประวัติศาตร์เพื่อสร้างสังคมอุดมคติจึงก่อให้เกิดสงครามและความรุนแรงในรูปแบบต่าง ๆ ในระยะเวลาต่อมานั้นเอง
อาจกล่าวได้ว่า แนวคิดหลังสมัยใหม่ตั้งคำถามกับความเชื่อที่ว่า ความรู้นั้นเหมือนกระจก ส่วนโลกก็เหมือนวัตถุที่เราจะเอากระจกไปส่องให้เห็นได้อย่างถ้วนทั่ว สำหรับหลังสมัยใหม่แล้ว วัตถุนั้นอยู่ห่างไกลจนไม่มีทางที่กระจกบานใดจะส่องได้ทั่วถึง และการจ้องมองวัตถุนั้นก็สัมพันธ์อย่างมากกับตัวตนและตำแหน่งแห่งที่ของบุคคลผู้ถือกระจกเอง ภาพในกระจกเป็นเพียงภาพตัวแทนของความจริง แต่ก็เหมือนภาพตัวแทนทั่วๆ ไป คือ ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่และไม่มีวันจะเป็นความจริงไปได้[1]แนวคิดหลังสมัยใหม่ได้เสนอให้ใช้พหุวิธี(Multiple methodologies) และมองปัญหาจากทัศนะภาพที่หลากหลาย (Multiple perspectives) ในการเข้าถึงความจริง และที่สำคัญต้องตระหนักด้วยว่า แม้จะทำเช่นนั้นแล้วก็ยังไม่อาจอ้างได้ว่า ผลของการศึกษาสามารถสะท้อนความเป็นจริงได้อย่างเท่าเทียม[2]
จากที่กล่าวมาข้างต้น อาจสรุปได้ว่า สิ่งต่างๆ ที่ "แนวคิดเกี่ยวกับหลังสมัยใหม่" ได้พูดถึงไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจครอบงำทางความคิด ไม่เห็นด้วยกับการใช้วิธีวิทยาแบบใดแบบหนี่งเพียงแบบเดียว นั้นคือ ให้ความสำคัญกับความหลากหลาย และเป็นการท้าทายความรู้ ความจริงในวิธีการหาความรู้แบบปฏิฐานนิยม วิทยาศาสตร์ และเหตุผลนิยมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม แนวคิดหลักของหลังสมัยใหม่เป็นเรื่องการต่อต้านและการปฏิเสธระบบหรือสิ่งต่างๆทิ่เกิดขึ้นและดำรงอยู่ในสังคม อันเป็นผลผลิตของยุคสมัยใหม่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสถาบันหรือเรื่องของระบบเปิด ซึ่งลักษณะที่สำคัญดังกล่าว เป็นเพียงวาทกรรมชุดหนึ่งเท่านั้นในการอธิบายปรากฎการณ์ทางสังคมตามแนวคิดหลังสมัยใหม่ แต่ผู้เขียนเชื่อว่ายังมีวาทกรรมอีกชุดหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังของวาทกรรมดังกล่าว อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า ในการอธิบายเรื่องความรู้(Knowledge) อัตลักษณ์(Identity)และความจริง(Reality)ทุกสิ่งทุกอย่างตามแนวคิดหลังสมัยใหม่ล้วนแล้วแต่เป็นวาทกรรมทั้งสิ้น และที่สำคัญ คือ หลังสมัยใหม่ทำให้เรารู้จักคิดแบบองค์รวม/หลากหลายมากขึ้น โดยเราต้องใช้วิธีวิพากษ์(Critical Method) และอาศัยระบบความคิดและวิธีการวิเคราะห์ (Method of Analysis) ที่หลากหลายมากขึ้นเช่นเดียวกัน

[1] ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์. 2544. เพิ่งอ้าง, หน้า 170.
[2] จตุรงค์ บุณยรัตนสุนทร. 2546. Michael Foucault กับ Postmodernism ในวารสารสหวิทยาการ ฉบับสหวิทยาการกับความหลากหลายเชิงการวิพากษ์. ปีที่ 1 ฉบับที่ 2 (มกราคม-มิถุนายน), หน้า 204.

หลักเบื้องต้น ที่ จะพิจารณางาน ที่มีลักษณะของยุคหลังสมัยใหม่









โลกยุคโมเดิร์น คือการบรรยายถึงโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในเรื่องของความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เรื่องเศรษฐกิจ คือเป็นเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมนิยม ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาขึ้นของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และยังหมายถึงระบบ การเมืองแบบประชาธิปไตย แบบที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีแนวคิดเรื่อง สิทธิเสรีภาพ การแสดงออก การเป็นอธิการ (subject) ของความรู้ คุณธรรม พฤติกรรม การกระทำของคน พูดง่ายๆ คนต้องรับผิดชอบความรู้หรือการกระทำของตัวเอง ลักษณะเช่นนี้ของโมเดิร์น มีพื้นฐานจาก 2 ส่วน



หนึ่งคือ มันถูกผลิตจากนักคิดหรือวัฒนธรรม ของตะวันตก แต่ทั้งนี้ ถ้าโดยประวัติศาสตร์แล้วก็ต้องบอกว่า เกิดจากการหยิบยืมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือความคิดบางส่วนจากโลกมุสลิม จากเกาหลี จากอินเดีย เปอร์เซียฯ อีกทีหนึ่ง



ประการที่สอง ก็คือ ความรู้แบบตะวันตกพยายามที่จะอ้างตัวเองว่าเป็นสากลที่ใช้ได้ทั่วไป เป็นความถูกต้องกับมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นความคิดแบบนี้ก็เป็นความคิดอันเป็นพื้นฐานเพื่อ สร้างความชอบธรรมให้กับตะวันตกในการจะออกไปทำในสิ่งที่เรียกว่าภารกิจสร้างความศิวิไลซ์ (civilizing mission) หรือภารกิจในการไปพัฒนาให้คนอื่นเจริญ หลังจากที่การล่าอาณานิคม ถูกต้านทาน จนประเทศอาณานิคมทะยอยได้รับเอกราชเมื่อกลางศตวรรษ จึงต้องเปลี่ยนการ เข้าไปมีบทบาทในประเทศเหล่านั้นในนามของการพัฒนา นี่คือลักษณะของโมเดิร์น ส่วนโพสต์ โมเดิร์น ก็คือการตั้งคำถามกับโมเดิร์น



การที่มีคนใช้คำว่า โพสต์โมเดิร์น คุณ ประโยชน์ที่สำคัญก็คือ มันทำให้เราสามารถหวนกลับไปมองสังคมโมเดิร์นหรือพฤติกรรมที่ ผ่านมาของมนุษย์ หรือความคิดความเชื่อของเราอย่างเป็นอิสระมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่บอก ว่า "โพสต์" โมเดิร์น เราก็จะยังจะอยู่ในกรอบของโมเดิร์น หรือยังให้มันครอบเราอยู่ ให้เรา รู้สึกว่ายังจะต้องก้าวไปข้างหน้า ไปสู่ความเจริญ ยึดถือลัทธิความก้าวหน้า ซึ่งเป็นมิติที่ ควบคู่กับ civilizing mission ของตะวันตก การบอกว่าโลกเป็น โพสต์ โมเดิร์น หรือเป็นโลกหลังสมัยใหม่ ในเชิงการเมืองนอกจากจะ ทำให้มนุษย์สามารถมองโลกสมัยใหม่อย่างอิสระ เพื่อวิพากษ์วิจารณ์มันได้ชัดเจนมากขึ้น มองมันถนัดขึ้น ในทางความรู้ก็ทำให้หลุดพ้นจากกรอบ สมมติฐานแบบโมเดิร์น อย่างเช่น ปรัชญาความเป็นสากล ปรัชญาความก้าวหน้า หรือปรัชญาประเภทที่ต้องมีแก่นแท้ มั่นคง ถาวร เป็นอมตะ ซึ่งเอามาจากคริสต์ศาสนา เรื่องวิญญาณ เรื่องพระเจ้า หรือจากกรีกที่ เรียกว่าภาวะอุดมคติ เป็นต้น เพราะฉะนั้นตัวปรัชญาโพสต์ โมเดิร์น จึงเป็นตัวปรัชญาที่ แย้งกับความเป็นสากล หรือความเป็นแก่นแท้ที่ขัดแย้งไม่ได้ ล้มล้างไม่ได้ ถกเถียงไม่ได้

การที่คนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบโมเดิร์นแล้วทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบที่ว่า มันทำให้คน”หวนหาและโหยหาอดีตที่สามารถกลับมาได้อีกครั้ง (Nostalgia) เพราะเขาไม่อยากหลงอยู่กับที่ที่ไม่ใช่ของเขา เหนือกับการปรับตนสู่อนาคต เขาอยากกลับไปยังอดีตที่ขาคุ้นเคย อดีตอันแสนสุข (Good Old Days) ตรงนี้เองที่เป็นจุดสำคัญของการเกิด Post Modern
ทีนี้รู้เหตุแล้ว จะทำอย่างไรดีต่อไป ก็ไปดูสิว่าโมเดิร์นมันทำให้เกิดอะไร ก็คือมันเป็นสภาวะที่แน่นอน ตายตัว อยู่ในระบบที่เรียงตัวกันในเชิงเส้นแบบระบบอุตสาหกรรม (Linearity) Post Modern มันเลยมีหลักเบื้องต้นง่ายๆอยู่หลายประการคือ

1 งานต้องมีลักษณะ Double Coding คือมันมีความหมายอื่นซ้อนอยู่ในความหมายหนึ่งเพื่อให้สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ ส่วนที่น่าสนุกคือวิธีการในการสร้างความหมายอื่นซ้อนทับลงไปในความหมายเดิมนี่แหละ แต่ละคนจะใช้วิธีที่แตกต่างได้อย่างอิสระ ซึ่งต้องยก Case Study มาดูกัน สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่สนุกมากๆ แต่อาจจะน่าเบื่อสำหรับคนส่วนใหญ่
2 งานนั้นต้องมีลักษณะที่ “ปฏิเสธความแน่นอนตายตัวของ Text” คือเปิดให้เกิดการตีความได้ และสามารถตีความให้แตกต่างกันได้ ไม่ใช่ว่าต้องแบบนี้เท่านั้นจึงจะถูก



3 งานศิลปะไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตามล้วนมีความสำคัญเสมอกัน เหตุนี้ทำให้เกิดงานแบบ Installation และ Happening Art ขึ้นอย่างมากมายในยุค Post Modern โดยเฉพาะในทางดนตรี การนำกระป๋อง เศษเหล็ก ยางรถยนตร์ วิทยุ โถชักโครงมาสร้างเสียงก็มีความสำคัญเท่ากันแกรนด์เปียโนเป็นต้น



4 ส่วนที่มีความสำคัญมาก คือผู้สร้างงานไม่ได้มีความสำคัญไปกว่าผู้ดู ผู้รับรู้หรือผู้ตีความ มันเป็นทำลายกฏเกณท์บ้าๆบอที่ยึดถือเป็นหลักการพิจารณาสุนทรียภาพมายาวนานกว่าสี่ร้อยปีลงอย่างสิ้นเชิง และเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ศิลปะแบบ Decostruction เลิกเถียงกันว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อะไรสวย อะไรไม่สวย มันเป็นการละลาย Ego ของเราอีกด้วย พอเราปล่อยวาง Ego ของเราแล้ว มันรู้สึกสบาย มันเบา ชีวิตมันน่าอยู่เพราะไม่ต้องไปแบกโลกเอาไว้ เป็นการสร้างงานเพื่องานจริงๆ ไม่ใช่การสร้างงานเพื่อชื่อเสียง เพื่อการยอมรับ
หลักการกว้างๆนี้ทำให้ทิศทางของรูปแบบใหม่ที่ เหมือนจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น และเป็นรูปแบบที่สามารถตีความได้อย่างกว้างขวาง เอาแบบเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจคนทำ เพราะผู้ตีความนี้แหละสำคัญ
มันจึงเกิดทฤษฎีสำคัญๆมาหลายอย่าง ตั้งแต่ Contradiction and Complexity, ทฤษฎีที่เกี่ยวกับ Perception และการรับรู้ระบบสัญลักษณ์ ทั้ง Sign และ Symbol และอื่นๆอีกมากผลของมันคือกระบวนการที่ต่อเนื่องกันของการทำงานสามส่วน หนึ่ง การสร้างงานที่องค์ประกอบทั้งหลายผุดขึ้นจากความทรงจำและความรู้สึก (การที่มันสามารถผุดขึ้นมาได้ก็เท่ากับว่ามัันโอเค มันเป็น Nostalgia ที่มาจาก Good Old Days) สองการจัดองค์ประกอบของความทรงจำเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องนำมาประกอบกันในเชิงเส้น คือมันจะปะติดปะต่อกันตรงไหนก็ได้ และไม่จำเป็นต้องจัดหมู่หรือเรียงตามช่วงเวลา (แบบนี้มันก็จะถูกจัดอยู่ในระบบของ Complexity ซึ่งองค์ประกอบแต่ละส่วนมันจะ Contradict กันโดยอัตโนมัติ) ซึ่งก็เหมือนกับตอนที่ความทรงจำเหล่านั้นมันถูกเก็บอยู่ในหัวเรา มันก็ไม่เรียงตามช่วงเวลาเหมือนกัน (ทีนี้พอมันถูกเอามาเรียงกันโดยไม่ให้ความสำคัญเชิงลำดับขั้น หรือ Order มันก็จะเกิดอาการ Syntax กันขององค์ประกอบ เหมือนการเอาองค์ประกอบหลายๆส่วน จากหลายๆที่มาประกอบเข้าด้วยกันให้เกิดคำๆใหม่ คือมันจะเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาที่ไม่เป็นอะไรสักอย่างอย่างที่เรานำมันมาประกอบกัน






โดย พรหมินทร์ จาก
http://www.oknation.net/blog/ Postmodern,สถาปัตยกรรม,ศิลปะและดนตรี

โพสท์ โมเดิร์นกับมุมมองทางวรรณกรรม





Postmodernism เป็นถ้อยคำและกรอบความคิดที่ซับซ้อน เกิดขึ้นในแวดวงวิชาการตั้งแต่กลางปี ๑๙๘๐ Postmodernism มีคำจำกัดความที่ค่อนข้างยุ่งยาก เพราะมันเป็นแนวคิดหนึ่งที่ปรากฏในความหลากหลายของกฏเกณฑ์หรือแขนงวิชาการต่างๆ รวมถึงศิลปะ สถาปัตยกรรม ดนตรี ภาพยนตร์ วรรณคดี สังคมวิทยา สื่อสารมวลชน แฟชั่น และเท็คโนโลยี และยากที่จะระบุช่วงเวลาและประวัติศาสตร์ของมัน เพราะไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามันเกิดขึ้นมาเมื่อใด
อาจเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการการเริ่มคิดถึง -postmodernism ก็โดยการคิดถึงสิ่งที่เกี่ยวกับความทันสมัย-modernism ความเปลี่ยนแปลงเกิดจากการเริ่มและขยายความจากความทันสมัย -Modernism มีสองประเด็นหลัก หรือสองแนวทางในคำจำกัดความ ทั้งสองนี้เกี่ยวข้องกับความเข้าใจในแนวคิด -postmodernism.
ประเด็นแรกหรือคำจำกัดความแรกของ -modernism นั้นมาจากการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงเรื่องสุนทรียศาสตร์ในตราประทับของ "modernism." การเคลื่อนไหวนี้นำไปสูจุดหมายปลายทางของแนวคิดศิลปะตะวันตกของศตวรรษที่ ๒๐ (แม้ว่าร่องรอยจะเริ่มปรากฏในช่วงของศตวรรษที่ ๑๙ ก็ตาม) Modernism นั้น อย่างที่ทราบกัน เป็นการเคลื่อนไหวและเปลี่ยนแปลงของแขนงวิชา ทัศนศิลป์ ดนตรี วรรณคดี และการละคอน ซึ่งต่อต้านแนวคิดแบบ Victorian ศิลปะเดิมที่เป็นอยู่ในขณะนั้น ในช่วง "high modernism," ระหว่างปี 1910 ถึง 1930 งานวรรณกรรมในแบบฉบับของ modernism ช่วยให้มีการเปลี่ยนแปลงและทบทวน การเขียนโคลงกลอนและนิยายกันใหม่ เช่นผลงานของ Woolf, Joyce, Eliot, Pound, Stevens, Proust, Mallarme, Kafka, และ Rilke ท่านเหล่านี้ถูกจัดเป็นผู้ริเริ่มของวรรณกรรม -modernism แห่งศตวรรษที่ ๒๐.




จากมุมมองทางด้านวรรณกรรม ลักษณะสำคัญของ modernism ประกอบด้วย:
1. เน้นเรื่องความรู้สึกล้วนๆ-impressionism และการเขียนในเชิงนามธรรม (เช่นเดียวกันงานทัศนศิลป์) การเน้นที่เห็น "อย่างไร" (หรือการอ่านหรือการรับรู้ด้วยตัวมันเอง) มากกว่า "อะไร" ที่มองเห็น ตัวอย่างนี้คือ งานเขียนที่เต็มไปด้วยกระแสของจิตที่มีสำนึก (stream-of-consciousness writing)
2. ความเปลี่ยนแปลงอันหนึ่ง คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากความรอบรู้ในการบรรยายของบุคคลที่สาม มุมมองที่เฉพาะเจาะจง และเงื่อนไขทางศีลธรรมที่ชัดเจน เช่น เรื่องราวการบรรยายของ Faulkner เป็นตัวอย่างหนึ่งของแนวเขียนแบบ modernism.
3. ความกำกวมของความแตกต่างระหว่างเรื่องราวที่เคยสามารถอ่านได้จากภาพ กับบทกลอน ที่เพิ่มความเป็นสารคดี (เช่นงานเขียนของ T.S. Eliot ) และบทรอยแก้ว ที่ค่อนไปทางโคลงกลอนมากขึ้น (เช่นงานเขียนของ Woolf หรือ Joyce)
4. เน้นรูปแบบที่แยกออกเป็นส่วนๆ การบรรยายเรื่องราวที่ไม่ต่อเนื่องและการสุมรวมปะติดปะต่อของสิ่งที่แตกต่างกัน
5. โอนเอียงในทำนองการสะท้อนกลับ หรือรู้สำนึกได้ด้วยตัวเอง ที่เกี่ยวข้องกับงานศิลปะ เพื่อที่งานแต่ละชิ้นจะได้เรียกร้องความสนใจเฉพาะตามสถานะของการรังสรรค์ในวิธีการที่เป็นพิเศษ
6. รูปแบบทางสุนทรีย์เน้นที่ความน้อยสุด (minimalist designs ..เช่นในงานประพันธ์ของ William Carlos Williams) ส่วนใหญ่ปฏิเสธทฤษฎีสุนทรีย์ศาสตร์ที่เคร่งครัดแบบเดิม สนับสนุนการสร้างสรรค์ที่เกิดจากการค้นพบด้วยตนเองตามธรรมชาติ
7. ปฏิเสธการแยกเป็นสองขั้ว เช่น สูง และ ต่ำ หรือวัฒนธรรมยอดนิยมเดิมๆ ในการเลือกใช้วัสดุในการผลิตงานศิลปะ และวิธีการนำเสนอ การเผยแพร่ และการบริโภคของงานศิลปะ
Postmodernism มีความคล้ายคลึงกันกับ modernism ตามความคิดที่เหมือนกันเหล่านี้คือ ปฏิเสธเส้นแบ่งระหว่างความสูง-ต่ำในรูปแบบของศิลปะ ปฏิเสธความแตกต่างในความเป็นศิลปวัตถุที่เคร่งครัด เน้นการหลอมรวมกับสิ่งที่คุ้นเคย กำมะลอ การแดกดัน และความขบขัน ในแง่ศิลปะ (และความคิด) ของ Postmodern มักไหลย้อนกลับและมีสำนึกของตนเอง เปราะบางและไม่ต่อเนื่อง (โดยเฉพาะโครงสร้างการบรรยายความ) ขัดแย้ง ในเวลาเดียวกัน และการเน้นรื้อเปลี่ยนโครงสร้าง ย้ายความเป็นศูนย์กลาง ตัดสิทธิ์ความเป็นประธาน
แต่..แม้ในความเป็น -postmodernism ดูเหมือนจะคล้ายกับ -modernism ในหลายเรื่อง ความแตกต่างกันอยู่ที่ทัศนะคติในเรื่องนั้นๆ ดังเช่น Modernism โน้มเอียงไปที่ความเปราะบางในแง่ที่เกี่ยวกับจิตใจของมนุษย์และประวัติศาสตร์ (เช่นความคิดในงานประพันธ์เรื่อง The Wasteland ของ Woolf's To the Lighthouse) โดยเสนอว่า ความเปราะบางนั้นเป็นบางสิ่งที่เลวร้าย บางสิ่งที่เป็นความโทมนัสและเศร้าโศรกในความสูญเสีย งานของนักทันสมัย พยายามหยิบยกความคิดของงานศิลปะที่สนองความเป็นเอกภาพ ยึดเหนี่ยว และให้ความหมายในสิ่งที่สูญหายไปในชีวิตสมัยใหม่ ศิลปะจะสนองตอบในสิ่งที่สูญหายในสถาบันของความเป็นมนุษย์ Postmodernism ในทางกลับกัน ไม่เน้นความเปราะบางของโทมนัส สร้างทดแทน หรือไม่เกาะยึดไว้ แต่ค่อนไปทางเฉลิมฉลอง กระทำดังเช่นราวกับว่าโลกไร้ความหมาย? ไม่แสร้งทำให้ดูเหมือนว่าศิลปะสามารถให้ความหมายได้ กลับปล่อยให้เป็นเรื่องเล่นๆที่ไร้สาระ
อีกแง่ในการมองความสัมพันธ์ระหว่าง modernism และ postmodernism คือการช่วยให้เกิดความกระจ่างในความแตกต่างบางอย่าง ในทัศนะของ Frederic Jameson, modernism และ postmodernism เป็นการก่อรูปทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับลัทธิความเป็นทุนนิยม Jameson อ้างสาระสำคัญของวลีสามอย่างของลัทธิทุนนิยม ที่กำหนดความประพฤติทางวัฒนธรรม (รวมศิลปะและวรรณกรรม) เป็นพิเศษคือ สาระแรก เกี่ยวกับตลาดทุนนิยม ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ ๑๘ จนถึงตลอดศตวรรษที่ ๑๙ ในยุโรปตะวันตก อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา (และปริมณฑลโดยรอบ) ในสาระแรกนี้รวมเอาการพัฒนาทางวิทยาการต่างๆ เช่น เครื่องจักร์ไอน้ำ และลักษณะของสุนทรีย์ศาสตร์พิเศษ ที่เรียกว่า ความจริงแท้ -realism. สาระที่สองเกิดต่อจากศตวรรษที่ ๑๙ จนถึงศตวรรษที่ ๒๐ (ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง) ในสาระนี้ การถือเอกสิทธิ์ของระบบทุนนิยม ด้วยการรวมตัวกันของเครื่องไฟฟ้าและพลังงานและกับความทันสมัย -modernism ในสาระที่สาม วลีของเขาคือว่า เราเดี๋ยวนี้คือนักบริโภคนานาชาติของระบบทุนนิยม (ที่เน้น การตลาด การขาย การบริโภคแบบรวมซื้อเพื่อขายต่อ ไม่ใช่เพื่อการผลิตก่อนแล้วขาย) รวมกันกับวิทยาการด้านนิวเคลียร์และไฟฟ้า และบรรณสานสัมพันธ์กันเป็น postmodernism ในเวลาเดียวกัน




โดย...Dr. Mary Klages
(เรียบเรียงจาก...http://www.colorado.edu/English/ENGL2012Klages/pomo.html)

ทำความเข้าใจกับคำว่า "ยุคหลังสมัยใหม่"หรือ post modern



Post Modern คือ


ในยุคปัจจุบันมีนักคิดแนวโพสต์โมเดิร์น / หลังทันสมัยพัฒนากระบวนขึ้นใหม่ ได้แก่ Michel Foucault (มิเชล ฟูโก) Jacques Derrlda (แดร์ริดา) Lyotard (ลีโอทาร์ด) ทั้ง 3 ท่านเป็นนักคิดส่วนหนึ่งของโพสต์โมเดิร์น ที่มีอิทธิพลต่อข้อวิจารณ์ต่างๆ จุดรวมใหญ่ทั้ง 3 ท่าน มี 3 จุด คือ


1. เชื่อว่าความจริงในโลกที่มีลักษณะหลากหลาย และกระจัดกระจาย เชื่อมสื่อดั่งเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือสังคมมีลักษณะ "ล้ำความจริง" เช่น ชาวเขาจะมีความจริงที่ไม่เหมือนชาวเมือง คือชาวเขาจะรักธรรมชาติมากกว่าชาวเมือง ชาวเมืองจะรักธรรมชาติน้อยกว่าชาวเขา (สภาพวัตถุมากกว่าชาวเขา) ขึ้นอยู่กับว่าวาทกรรมทางการผลิตของใครมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน เช่น ถ้าชาวเขามีหัวหน้าเผ่า หัวหน้าชุมชนที่รักธรรมชาติ เขาก็จะใช้ชุดความคิด วาทกรรมการครอบงำให้ลูกบ้านเอาเยี่ยงอย่างเขา ส่วนในเมืองการรักธรรมชาติเป็นเพียงวาทกรรมที่ทำให้เขารู้สึกว่าธรรมชาติ คือ สถานที่ผ่อนคลายจากงานการ


2. มนุษย์ไม่สามารถวิเคราะห์ทำความจริงแบบ objective วัตถุวิสัยได้ คือ จะเน้นที่วิธีการทำให้จริงและไม่จริง ถ้าเราใช้ทฤษฎีแบบใหม่ที่พยายามอธิบายสังคม เราไม่สามารถหาทางเลือกที่แตกต่างจากระบบปัจจุบันได้ เพราะทุกทางเลือกที่อ้างว่าใหม่มีลักษณะเหมือนระบบเดิม คือ พยายามเผด็จการทางความคิดอย่างชัดเจน


3. ชนชั้นไม่สำคัญ ความขัดแย้งทางชนชั้นลดลง เน้นผู้บริโภคแบบปัจเจกชน แทนผู้ผลิตแบบชนชั้น โดยดูจากแมกซ์ เวเบอร์(Max Weber) นักสังคมศาสตร์ชาวเยอรมัน ให้ค่าการบริโภคของคนแต่ละคนทำให้เขามีศักยภาพขึ้นมาได้ หมายถึง รวมความต่อการบริโภคสัญญะของสินค้า-ศิลปะ ง่ายต่อการเข้าถึง ดังนั้น ปัจเจกชนที่มีความคิดอย่างแรงกล้าย่อมทำอะไรด้วยความปรารถนาที่มีพลังมหาศาล

กระแสโพสต์ โมเดิร์น มีอิทธิพลต่อนักเขียนวรรณกรรม คนรุ่น 2000 อย่างไร?


... โพสต์ โมเดิร์น มีลักษณะเป็นความสงสัยต่อสิ่งที่สลับซับซ้อน จนคุณพจนา จันทรสันติ(กวี นักแปล นักเขียนร่วมสมัย) เตือนว่าควรสงสัยพร้อมกับค้นหาความจริง คนรุ่นใหม่หลายคนอาจคิดไปว่า คือ การสร้างจินตนาการใหม่ๆต่อสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ การขบฏต่อสิ่งเดิมๆ กรอบเดิมๆ ไม่สนใจการเมืองแบบซ้ายหรือขวา จะเห็นได้ว่าภาวะทุนนิยมผลักไสไล่ส่งจากครอบครัวชาวบ้านไปสู่ภาวะปัจเจกที่สนใจต่อสิ่งแคบๆรอบตัว
แต่เมื่อเราดูงานเขียนที่มีอิทธิพลต่อคนรุ่นใหม่ เช่น โน้ต อุดม แต้พานิช(นักเขียน แนวขยะวรรณกรรม) ถึง ปราบดา หยุ่น(นักเขียนรางวัลซีไรต์) อย่างงาน โทษฐานที่รู้จักกัน ของโน้ต จะมีการใช้การเล่นคำ การให้ความหมายต่อสิ่งหนึ่งและแก้ปัญหาโดยนำความหมายอีกแบบหนึ่งมาแก้ปัญหา ซึ่งเราอาจจะเรียกว่าความคิดเชิงบวก เช่นตอนหนึ่งในกตัญญู กตเวทิตีนที่ว่า "เจ้าของส่วนใหญ่มักทำให้ตีนน้อยใจในขณะอาบน้ำ...ไหนๆก็มีตีนเป็นของตนเองแล้ว กะอีแค่รักษาเอาไว้เอาใจใส่กับมันสักนิด...คุณรัจักและสนิทสนมกับตีนดีแล้วคุณจะไม่โกรธเลย ถ้ามีใครด่าคุณว่าไอ้หน้าส้นตีน"
ปราบดา หยุ่น ก็ใช้วิธีการเขียนที่ฮิวเมอริสต์ คือ ครูอบ ไชยวสุ สร้างรูปแบบการใช้ความคิด "ขบคิด" และ "ขันเงียบ" ประชดประชันซึ่งคุณภาพดังกล่าวห่างหายไปนานในแวดวงวรรณกรรม นักเขียนรุ่นดังกล่าวก็มีที่มามิใช่จากแนวคิดโพสต์ โมเดิร์นเสมอไป แล้วนิตยสารที่ชื่อ POMO ของเสี้ยวจันทร์ แรมไพร ที่เน้นชีวิตเล็กๆ ของศิลปินหาตัวจับยาก เช่น พราย ปฐมพร ปฐมพรมาเป็นหน้าปกจะว่าไปแล้วจุดยืนของหนังสือดังกล่าว ก็ไม่ต่างอะไรกับหนังสือวัยรุ่น แต่เป็นฉบับที่นักเขียนเคยสนใจต่อเหตุการณ์ทางการเมืองมาก่อนจึงมีภาพลักษณ์อีกชนิดหนึ่ง
แต่อย่างไรก็ตามนักเขียนแนวสังคมนิยม อย่างกุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือศรีบูรพา หรือแนวค้นหาความจริงเช่น คมทวน คันธนู, มานพ ถนอมศรี, ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่ ขึ้นกับว่าประสบการณ์ในการศึกษาในการทำกิจกรรมของนักศึกษาก็เป็นส่วนหนึ่งในการผลักเขาเข้าหรือออกจากโลกแห่งความจริงในตัวหนังสือ




อ้างอิง


เมื่อ Marxist ปะทะ Post Modern!!!อิทธิพลแนวคิดต่อขบวนการภาคประชาชนชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำนักวิชาการอิสระ
หมายเหตุ: บทความทางวิชาการชิ้นนี้เผยแพร่บนเว็ปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันที่ ๑๖ เมษายน ๔๘



ลักษณะศิลปะ Post modern

1. การปฏิเสธศูนย์กลาง ซึ่งก็คือ การปฏิเสธอำนาจครอบงำ เน้นชายขอบซอกมุม เพื่อปลดเปลื้องการครอบงำทางเวลา เทศะและอัตลักษณ์ที่ยังหลงเหลืออยู่ ดังปรากฏในสถาปัตยกรรมจำนวนมากที่เลิกเน้นศูนย์กลาง

2. การปฏิเสธความเป็นเอกภาพ หรือ องค์รวม ภาพเขียนหรือสถาปัตยกรรมจึงไม่จำเป็นต้องจบสมบูรณ์ อาจเป็นหลายเรื่องซ่อนเร้นกัน

3. Post modern คัดค้านโครงสร้าง ระเบียบ ลำดับ ไม่ยึดติดกับโครงสร้างเพราะถือได้ว่าเป็นแนวคิดหลังโครงสร้างนิยม

4. Post modern ปฏิเสธจุดเริ่มต้น จึงปฏิเสธประวัติศาสตร์แต่โหยหาอดีต เนื่องจากความไม่มั่นคงทางอัตลักษณ์ อดีตของพวกเขาไม่ใช่ประวัติศาสตร์ แต่เป็นการทำลายประวัติศาสตร์เพราะมันถูกนำมาอยู่ในปัจจุบันหรือหลุดไปจากบริบทอย่างสิ้นเชิงความคิดโพสต์โมเดิร์นเป็นทั้งการวิพากษ์และการตั้งคำถามที่มีต่อโลกแบบโมเดิร์นของตะวันตก ซึ่งมองว่าการสร้างสังคมสมัยใหม่ของโลกตะวันตกที่ได้กำเนินมานั้นไม่ได้พัฒนาความสุข การหลุดพ้น หรือชีวิตที่เป็นเหตุเป็นผล อย่างที่กล่าวอ้างกัน เป็นเพียงการสร้างวาทกรรมผ่านภาษา เพียงเพื่อครอบงำสังคมอื่นเพื่อชิงความได้เปรียบในหลายปัจจัย
อ้างอิงธีรยุทธ บุญมี, โลก โมเดิร์น โพสต์ โมเดิร์น . วิญญูชน.พิมพ์ครั้งที่ 4.กรุงเทพฯ : 2550