วันพฤหัสบดีที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2552

หลักเบื้องต้น ที่ จะพิจารณางาน ที่มีลักษณะของยุคหลังสมัยใหม่









โลกยุคโมเดิร์น คือการบรรยายถึงโลกที่มีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ในเรื่องของความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี เรื่องเศรษฐกิจ คือเป็นเศรษฐกิจแบบทุนนิยมอุตสาหกรรมนิยม ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการพัฒนาขึ้นของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และยังหมายถึงระบบ การเมืองแบบประชาธิปไตย แบบที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มีแนวคิดเรื่อง สิทธิเสรีภาพ การแสดงออก การเป็นอธิการ (subject) ของความรู้ คุณธรรม พฤติกรรม การกระทำของคน พูดง่ายๆ คนต้องรับผิดชอบความรู้หรือการกระทำของตัวเอง ลักษณะเช่นนี้ของโมเดิร์น มีพื้นฐานจาก 2 ส่วน



หนึ่งคือ มันถูกผลิตจากนักคิดหรือวัฒนธรรม ของตะวันตก แต่ทั้งนี้ ถ้าโดยประวัติศาสตร์แล้วก็ต้องบอกว่า เกิดจากการหยิบยืมวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี หรือความคิดบางส่วนจากโลกมุสลิม จากเกาหลี จากอินเดีย เปอร์เซียฯ อีกทีหนึ่ง



ประการที่สอง ก็คือ ความรู้แบบตะวันตกพยายามที่จะอ้างตัวเองว่าเป็นสากลที่ใช้ได้ทั่วไป เป็นความถูกต้องกับมนุษย์ทุกคน เพราะฉะนั้นความคิดแบบนี้ก็เป็นความคิดอันเป็นพื้นฐานเพื่อ สร้างความชอบธรรมให้กับตะวันตกในการจะออกไปทำในสิ่งที่เรียกว่าภารกิจสร้างความศิวิไลซ์ (civilizing mission) หรือภารกิจในการไปพัฒนาให้คนอื่นเจริญ หลังจากที่การล่าอาณานิคม ถูกต้านทาน จนประเทศอาณานิคมทะยอยได้รับเอกราชเมื่อกลางศตวรรษ จึงต้องเปลี่ยนการ เข้าไปมีบทบาทในประเทศเหล่านั้นในนามของการพัฒนา นี่คือลักษณะของโมเดิร์น ส่วนโพสต์ โมเดิร์น ก็คือการตั้งคำถามกับโมเดิร์น



การที่มีคนใช้คำว่า โพสต์โมเดิร์น คุณ ประโยชน์ที่สำคัญก็คือ มันทำให้เราสามารถหวนกลับไปมองสังคมโมเดิร์นหรือพฤติกรรมที่ ผ่านมาของมนุษย์ หรือความคิดความเชื่อของเราอย่างเป็นอิสระมากขึ้น เพราะถ้าเราไม่บอก ว่า "โพสต์" โมเดิร์น เราก็จะยังจะอยู่ในกรอบของโมเดิร์น หรือยังให้มันครอบเราอยู่ ให้เรา รู้สึกว่ายังจะต้องก้าวไปข้างหน้า ไปสู่ความเจริญ ยึดถือลัทธิความก้าวหน้า ซึ่งเป็นมิติที่ ควบคู่กับ civilizing mission ของตะวันตก การบอกว่าโลกเป็น โพสต์ โมเดิร์น หรือเป็นโลกหลังสมัยใหม่ ในเชิงการเมืองนอกจากจะ ทำให้มนุษย์สามารถมองโลกสมัยใหม่อย่างอิสระ เพื่อวิพากษ์วิจารณ์มันได้ชัดเจนมากขึ้น มองมันถนัดขึ้น ในทางความรู้ก็ทำให้หลุดพ้นจากกรอบ สมมติฐานแบบโมเดิร์น อย่างเช่น ปรัชญาความเป็นสากล ปรัชญาความก้าวหน้า หรือปรัชญาประเภทที่ต้องมีแก่นแท้ มั่นคง ถาวร เป็นอมตะ ซึ่งเอามาจากคริสต์ศาสนา เรื่องวิญญาณ เรื่องพระเจ้า หรือจากกรีกที่ เรียกว่าภาวะอุดมคติ เป็นต้น เพราะฉะนั้นตัวปรัชญาโพสต์ โมเดิร์น จึงเป็นตัวปรัชญาที่ แย้งกับความเป็นสากล หรือความเป็นแก่นแท้ที่ขัดแย้งไม่ได้ ล้มล้างไม่ได้ ถกเถียงไม่ได้

การที่คนอยู่ในสภาพแวดล้อมแบบโมเดิร์นแล้วทำให้เกิดปรากฏการณ์แบบที่ว่า มันทำให้คน”หวนหาและโหยหาอดีตที่สามารถกลับมาได้อีกครั้ง (Nostalgia) เพราะเขาไม่อยากหลงอยู่กับที่ที่ไม่ใช่ของเขา เหนือกับการปรับตนสู่อนาคต เขาอยากกลับไปยังอดีตที่ขาคุ้นเคย อดีตอันแสนสุข (Good Old Days) ตรงนี้เองที่เป็นจุดสำคัญของการเกิด Post Modern
ทีนี้รู้เหตุแล้ว จะทำอย่างไรดีต่อไป ก็ไปดูสิว่าโมเดิร์นมันทำให้เกิดอะไร ก็คือมันเป็นสภาวะที่แน่นอน ตายตัว อยู่ในระบบที่เรียงตัวกันในเชิงเส้นแบบระบบอุตสาหกรรม (Linearity) Post Modern มันเลยมีหลักเบื้องต้นง่ายๆอยู่หลายประการคือ

1 งานต้องมีลักษณะ Double Coding คือมันมีความหมายอื่นซ้อนอยู่ในความหมายหนึ่งเพื่อให้สามารถตีความเป็นอย่างอื่นได้ ส่วนที่น่าสนุกคือวิธีการในการสร้างความหมายอื่นซ้อนทับลงไปในความหมายเดิมนี่แหละ แต่ละคนจะใช้วิธีที่แตกต่างได้อย่างอิสระ ซึ่งต้องยก Case Study มาดูกัน สำหรับผมมันเป็นเรื่องที่สนุกมากๆ แต่อาจจะน่าเบื่อสำหรับคนส่วนใหญ่
2 งานนั้นต้องมีลักษณะที่ “ปฏิเสธความแน่นอนตายตัวของ Text” คือเปิดให้เกิดการตีความได้ และสามารถตีความให้แตกต่างกันได้ ไม่ใช่ว่าต้องแบบนี้เท่านั้นจึงจะถูก



3 งานศิลปะไม่ว่าจะเป็นแบบใดก็ตามล้วนมีความสำคัญเสมอกัน เหตุนี้ทำให้เกิดงานแบบ Installation และ Happening Art ขึ้นอย่างมากมายในยุค Post Modern โดยเฉพาะในทางดนตรี การนำกระป๋อง เศษเหล็ก ยางรถยนตร์ วิทยุ โถชักโครงมาสร้างเสียงก็มีความสำคัญเท่ากันแกรนด์เปียโนเป็นต้น



4 ส่วนที่มีความสำคัญมาก คือผู้สร้างงานไม่ได้มีความสำคัญไปกว่าผู้ดู ผู้รับรู้หรือผู้ตีความ มันเป็นทำลายกฏเกณท์บ้าๆบอที่ยึดถือเป็นหลักการพิจารณาสุนทรียภาพมายาวนานกว่าสี่ร้อยปีลงอย่างสิ้นเชิง และเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ศิลปะแบบ Decostruction เลิกเถียงกันว่าอะไรใช่ อะไรไม่ใช่ อะไรสวย อะไรไม่สวย มันเป็นการละลาย Ego ของเราอีกด้วย พอเราปล่อยวาง Ego ของเราแล้ว มันรู้สึกสบาย มันเบา ชีวิตมันน่าอยู่เพราะไม่ต้องไปแบกโลกเอาไว้ เป็นการสร้างงานเพื่องานจริงๆ ไม่ใช่การสร้างงานเพื่อชื่อเสียง เพื่อการยอมรับ
หลักการกว้างๆนี้ทำให้ทิศทางของรูปแบบใหม่ที่ เหมือนจะเป็นอะไรก็ได้ทั้งนั้น และเป็นรูปแบบที่สามารถตีความได้อย่างกว้างขวาง เอาแบบเต็มที่ไม่ต้องเกรงใจคนทำ เพราะผู้ตีความนี้แหละสำคัญ
มันจึงเกิดทฤษฎีสำคัญๆมาหลายอย่าง ตั้งแต่ Contradiction and Complexity, ทฤษฎีที่เกี่ยวกับ Perception และการรับรู้ระบบสัญลักษณ์ ทั้ง Sign และ Symbol และอื่นๆอีกมากผลของมันคือกระบวนการที่ต่อเนื่องกันของการทำงานสามส่วน หนึ่ง การสร้างงานที่องค์ประกอบทั้งหลายผุดขึ้นจากความทรงจำและความรู้สึก (การที่มันสามารถผุดขึ้นมาได้ก็เท่ากับว่ามัันโอเค มันเป็น Nostalgia ที่มาจาก Good Old Days) สองการจัดองค์ประกอบของความทรงจำเหล่านั้น ไม่จำเป็นต้องนำมาประกอบกันในเชิงเส้น คือมันจะปะติดปะต่อกันตรงไหนก็ได้ และไม่จำเป็นต้องจัดหมู่หรือเรียงตามช่วงเวลา (แบบนี้มันก็จะถูกจัดอยู่ในระบบของ Complexity ซึ่งองค์ประกอบแต่ละส่วนมันจะ Contradict กันโดยอัตโนมัติ) ซึ่งก็เหมือนกับตอนที่ความทรงจำเหล่านั้นมันถูกเก็บอยู่ในหัวเรา มันก็ไม่เรียงตามช่วงเวลาเหมือนกัน (ทีนี้พอมันถูกเอามาเรียงกันโดยไม่ให้ความสำคัญเชิงลำดับขั้น หรือ Order มันก็จะเกิดอาการ Syntax กันขององค์ประกอบ เหมือนการเอาองค์ประกอบหลายๆส่วน จากหลายๆที่มาประกอบเข้าด้วยกันให้เกิดคำๆใหม่ คือมันจะเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้นมาที่ไม่เป็นอะไรสักอย่างอย่างที่เรานำมันมาประกอบกัน






โดย พรหมินทร์ จาก
http://www.oknation.net/blog/ Postmodern,สถาปัตยกรรม,ศิลปะและดนตรี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น